จาก ‘ตั๋วช้าง’ ‘บ่อนการพนัน’ ถึง ‘การสลายการชุมนุม’ สังคมไทยกำลังตั้งคำถามใหญ่กับตำรวจ
ไม่นับอีกหลายเหตุการณ์ทำให้ข้ออ้างที่ว่า “ทำตามหน้าที่” หรือ “ทำตามกฎหมาย” ดูไร้ความหมาย ความชอบธรรมของตำรวจถูกท้าทาย ท่ามกลางความคับข้องใจว่า เหตุใด ‘คำสั่งนาย’ จึงใหญ่กว่าหลักเหตุผล
101 ชวน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สนทนาว่าด้วยการเมืองของการปฏิรูปตำรวจ และตำรวจกับการปฏิรูปการเมือง
:: ปฏิรูป ‘ตำรวจ’ ฉบับเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ::

จริงๆ การปฏิรูปตำรวจไม่ยาก แต่ทำครั้งเดียวไม่จบ ต้องค่อยๆ ทำ
จะปฏิรูปตำรวจ ต้องปฏิรูปทั้งคนและระบบ ไม่ว่าจะการปฏิรูปส่วนราชการใดหรือการปฏิรูปประเทศชาติก็ตาม ก็ต้องทำทั้งคนและระบบ ประเทศชาตินะ ถ้าคนในชาติดี อยู่ดีกินดี มีความสุข ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เราก็จะได้ผู้แทนที่ดีมาบริหารประเทศ เช่นเดียวกัน สำหรับตำรวจที่ต้องรับใช้พี่น้องประชาชน ถ้าเรายังทำอยู่เหมือนปัจจุบัน ไม่ปฏิรูป ไม่แก้ไข ก็จะไม่มีทางเจริญขึ้น
การปฏิรูปมีอยู่ 2 ส่วนง่ายๆ คือคนกับระบบ ในส่วนของคน จะเห็นว่าตำรวจมียศ มีพลตำรวจ มีสิบตรี โท เอก ร้อยเอก พันตรี พันโท พันเอก นายพล ในปัจจุบัน พลตำรวจต้องจบ ม.6 แต่ให้คนที่จบ ม.6 มาใช้กฎหมายดูแลชีวิตทรัพย์สินพี่น้องประชาชนมันเพียงพอไหม? ในขณะที่พี่น้องประชาชนเขาเรียนไปถึงไหนแล้ว ตำรวจก็ยังรับ ม.6 มาอยู่ ปัญหามันจึงเกิด คือ หนึ่ง ใช้กฎหมายไม่เป็น ดูแลเขาก็ไม่ได้ หรือแม้แต่นายร้อยจบปริญญาตรี ก็มีทั้งจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือจบคณะอื่นๆ มาบ้างมากมายเยอะแยะไปหมด มันไม่มีมาตรฐานเหมือนศาลหรืออัยการ อย่างในกระบวนการยุติธรรม อัยการ ศาลอย่างน้อยก็ต้องจบเนติบัณฑิต เขามีมาตรฐาน ศาลและอัยการมีความรู้เท่าเทียมกัน แต่ตำรวจไม่เป็นอย่างนั้น
การพัฒนาตำรวจไม่จำเป็นต้องเขียนแผนใหญ่โต สมัยที่ผมเป็น ผบ.ตร. ผมใช้วิธีให้ผู้จัดการการศึกษาแก้ใบสมัครรับข้าราชการนายสิบตำรวจจาก ม.6 ให้เป็นปริญญาตรี แล้วมีเขียนหมายเหตุไว้ว่าเมื่อรับราชการแล้ว 2 ปี ให้สอบเป็นนายตำรวจได้ แต่สุดท้าย ตอนนี้ก็โดนเปลี่ยนกลับให้ไปรับ ม.6 เหมือนเดิม ส่วนนายร้อยที่ปกติรับวุฒิปริญญาตรีนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ หรือจบจากนายร้อยตำรวจ ก็เปลี่ยนไปรับวุฒิปริญญาโทหรือเปิดรับเนติบัณฑิตมาเป็นตำรวจ
ส่วนโรงเรียนนายร้อยตำรวจต้องยุบหลักสูตร แทนที่จะรับนักเรียนเตรียมทหารและบุคคลที่มีวุฒิ ม.6 ก็รับวุฒิปริญญาตรีมาเข้าเลย ให้เรียน 2 ปี สมมติว่าจบนิติศาสตร์ คุณต้องเรียนอะไรเสริมล่ะ? ก็เหลือนิติเวชวิทยา อาชญวิทยา พิสูจน์หลักฐาน ฝึกการต่อสู้ป้องกันตัว ฝึกใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ ฝึกรบในป่า ส่วนกฎหมายเรียนมาแล้วเรียบร้อย
พอทำอย่างนี้แล้ว นายตำรวจชั้นประทวนจะมีคุณภาพมากขึ้น นายตำรวจชั้นสัญญาบัตรจะมีคุณภาพมากขึ้น มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น
:: ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ : ช่องทางของตั๋วช้าง (?) ::

ปัญหาเรื่องการใช้เงินซื้อขายตำแหน่ง ถ้าจะแก้ก็แก้ได้
ตอนนี้ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจกำลังเข้าสู่วาระสองที่ต้องพิจารณารายละเอียดรายมาตรา ประเด็นหนึ่งที่ต้องพูดถึงคือตำแหน่งประธาน ก.ตร. (คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ) ที่เขียนไว้ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ก.ตร.
คุณเป็นนายกฯ คุณไม่มีงานทำแล้วเหรอ เป็นทั้งนายกฯ เป็นทั้งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ก.ตร. คุมตำรวจ เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ เป็นประธานคณะกรรมการต่างๆ อีกตั้ง 40-50 เรื่อง คุณจะเป็นประธาน ก.ตร. ทำไม ถ้าจะกลัวตำรวจปฏิวัติยึดอำนาจ ตำรวจทำไม่ได้หรอก เพราะทหารคุมการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หมด ทำไมนายกฯ ต้องมาเป็นประธาน ก.ตร. ทำไมถึงให้ ผบ.ตร. เป็นประธาน ก.ตร. ไม่ได้
ฉะนั้นควรจะเปลี่ยนใหม่ได้แล้ว ถ้านายกฯ ไม่ต้องเป็นประธาน ก.ตร. ก็ให้อดีต ผบ.ตร. ที่อาวุโสกว่า ผบ.ตร. ในตำแหน่งและสมัครใจจะเป็นประธาน ก.ตร. ลงสมัครแล้วให้ข้าราชการตำรวจยศพันตำรวจเอกขึ้นไปโหวตประธาน ก.ตร. ได้
อย่างนายกฯ ไม่มีประสบการณ์ ชี้จะเอาแบบนั้นแบบนี้ มีอำนาจจะย้าย จะปลดใครก็ได้ ส่วน ผบ.ตร. ก็ได้แต่รับคำสั่งจากนายกฯ อย่างเดียว ไม่ได้คิดเอง แต่ถ้าเลือกมาจากข้าราชการตำรวจ การเมืองก็ยุ่งไม่ได้ แทรกไม่ได้
จำได้ไหม สมัยคุณประวิตร วงษ์สุวรรณนั่งตำแหน่งรองนายกฯ ควบประธาน ก.ตร. ช่วงนั้นข่าวซื้อขายตำแหน่งมหาศาล มีการเปลี่ยนระบบจากเดิมที่ระดับนายพลขึ้นไป ก.ตร. มีอำนาจพิจารณาเลื่อนตำแหน่งโดยที่ ผบ.ตร. เป็นผู้ทำบัญชีเพื่อเสนอชื่อให้คณะกรรมการ ส่วนยศต่ำลงมาตั้งแต่พันตำรวจเอกพิเศษลงไปเป็นหน้าที่ของผู้บัญชาการ แต่พอคุณประวิตรมา ลบทิ้งหมด ให้ ผบ.ตร. พิจารณาหมด แล้ว ผบ.ตร. จะรู้เกี่ยวกับข้าราชการตำรวจระดับปฏิบัติการได้อย่างไร แล้วก็มีข่าวซื้อขายตำแหน่งมากมายมหาศาล
อีกหนึ่งข้อในร่าง พ.ร.บ.ตำรวจ ที่เขียนไว้คือ ให้ยกเว้นเงื่อนไขที่กฎหมายระบุได้หาก ก.ตร. เห็นสมควร มีทำไมข้อนี้? ข้อนี้ทำให้เกิดการทุจริตซื้อขายตำแหน่งกันได้ ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วเฮงซวยอะไรต่างๆ เข้ามาก็ด้วยข้อนี้ถ้า ก.ตร. เห็นสมควร
:: ตำรวจกับคดีการเมือง ::

การทำคดีการเมืองอยู่ที่ใจที่ยึดมั่นในความสุจริต ยุติธรรม และความถูกต้อง แต่อย่างในปี 2535 มีอยู่คดีหนึ่งที่ทหารตำรวจพยายามใช้ประโยชน์จากการทำคดีการเมืองเพื่อให้ตัวเองมีอำนาจ
ต้องเกริ่นก่อนว่า ทหารมักจะสร้าง story อยู่เรื่อยเวลาจะยึดอำนาจ อย่างล่าสุดที่คุณประยุทธ์เข้ามายึดอำนาจก็สร้างเรื่องสร้างราว มีม็อบ กปปส. ยุคสนธิ บุญยรัตกลินเมื่อปี 2549 ก็กล่าวหาว่ารัฐบาลทุจริต คอร์รัปชัน แล้วก็เข้ามายึดอำนาจ
พอยุค รสช. ปี 2535 ก็ยิ่งหนัก ถึงขั้นมีการกล่าวหาว่าจะมีการลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้า วางแผนอย่างเป็นระบบโดย จปร.5 ที่ต้องการยึดอำนาจ ต้องการเป็นใหญ่ ตอนนั้นมีการวางแผนให้ จปร. ในส่วนที่เป็นตำรวจคือคุณบุญชู วังกานนท์ ทำสำนวนการสอบสวนว่าพลตรี มนูญกฤต รูปขจร วางแผนลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนางเจ้าฯ จนกระทั่งนายกฯ ชาติชายรู้ทันก็ย้ายบุญชูออกไปแล้วให้ผมมาแทน แต่ จปร.5 ตอนนั้นได้รับการสนับสนุนจากพลเอกเปรม พอผมตรวจสำนวน ไม่กี่วันก็ยึดอำนาจแล้วก็ยึดสำนวนการสอบสวนไป สรุปคือ ทหารเป็นคนกุเรื่อง ชงเรื่องขึ้นมาเองทั้งหมด
กล้าเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้าง กรณีม็อบนักศึกษาก็เหมือนกัน เอาสถาบันมาอ้างอยู่เรื่อย นักศึกษาจะประท้วงขับไล่ประยุทธ์ก็เอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาอ้าง เอา ม.112 มาดำเนินคดีอยู่ตลอด มันไม่ควรมีคดีมากมายขนาดนี้
:: ตำรวจกับม็อบ ::

ตำรวจต้องมีหน้าที่รักษาความสงบภายใน ที่นี้พอมีเหตุเกิดขึ้น มีม็อบ ตำรวจก็ต้องทำหน้าที่ แต่ทีนี้จะทำหน้าที่ได้ดีอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ตรงนี้สำคัญที่สุด จะใช้อาวุธ แก๊สน้ำตา กระสุนยาง น้ำฉีด ก็อยู่ที่ดุลพินิจผู้บังคับบัญชาตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์ ณ เวลานั้นว่าจะดำเนินการอย่างไร จะสั่งซ้ายสั่งขวา สั่งให้ทำนั่นนี่
ลำพังตำรวจเองทั้งหมดทำไม่ได้หรอก ต้องรอรับคำสั่งผู้บังคับบัญชาการ ที่นี้ผู้บังคับบัญชาล่ะจะทำอย่างไร ถ้าใช้มาตรการที่โอนอ่อนให้กับทางผู้ชุมนุม เดี๋ยวก็โดนสั่งปลด สั่งย้าย
คนเราบางที อายุมากขึ้น มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ มันก็มีความเกรงกลัว ยอมทุกสิ่งอย่างเพื่อที่จะให้ตัวเองไม่เดือดร้อน ไม่ถูกย้าย หรือแม้กระทั่งเพื่ออนาคตตนเองที่จะได้ก้าวหน้าในอาชีพ เพราะฉะนั้น ณ ขณะนี้ เวลานี้ ถ้าถามว่าเราจะได้เห็นภาพตำรวจฝ่าฝืนคำสั่งสลายการชุมนุมแล้วไปอยู่ข้างประชาชนแบบในพม่าหรือไม่ ผมว่าคงยาก
:: ความหวัง (?) ในการเมืองไทย ::

พอเข้าไปเป็น ส.ส. แล้ว ต้องบอกตรงๆ ว่าแทบจะไม่มีความหวังเลย มันหนัก เลวร้ายกว่าทุกยุคทุกสมัย อาจจะเพราะสมัยก่อนเราอยู่ภายนอก ยังไม่ได้สัมผัสใกล้ชิด
แต่พอได้เห็นว่าการเลือกตั้งว่าเป็นอย่างไร ซื้อเสียงกันอย่างไร แล้วเป็นอย่างไรล่ะตอนนี้ ปรากฏว่าแทนที่คุณประยุทธ์จะใช้โอกาสที่ตนเองมีอำนาจทำการเมืองให้ดี เปล่าเลย ยิ่งสกปรกมากกว่าเดิมอีก เขียนรัฐธรรมนูญก็โกง
ที่เป็นแบบนี้ เพราะเขาคิดถึงตัวเองเป็นหลัก อยากเป็นนายกฯ นานๆ อยากสืบทอดอำนาจ เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งครั้งใหญ่ที่ผ่านมาเมื่อ 24 มีนา 2562 จึงมีการทุจริต มีการโกงอย่างมาก ก่อนเลือกตั้งก็ใช้กำลังบีบบังคับผู้สมัครฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เอารัฐบาล พอเลือกตั้งก็โกงคะแนน ซื้อเสียง ตอนนับคะแนนบัตรดีก็ขานว่าเป็นบัตรเสีย แล้วยังเลื่อนเวลาปิดหีบบัตรเลือกตั้งจากบ่าย 3 ไปเป็น 5 โมงเย็น พอจะปิดหีบนับคะแนนฟ้ามันก็มืดแล้ว มันโกงง่าย ฟ้อง กกต. ไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
ถ้าคิดถึงประเทศชาติเป็นหลัก จะไม่ทำออกมาอย่างนี้หรอก